About Us
เราเขียนเว็บ"วิธีสัมภาษณ์งานภาษาอังกฤษ : How To Interview In English"ขึ้นมาเพื่ออะไร คนทำงานจะทราบดีครับว่ามันเป็นกุญแจดอกสำคัญที่คุณจะใช้เปิดประตูบริษัทในฝันของคุณเพื่อเข้าไปนั่งบนบัลลังค์การทำงาน
เมื่อคุณสมัครงานแล้วเสร็จ Step ถัดไปก็คือการสัมภาษณ์งาน(Job Interview) เพราะว่าถ้าการกรอกใบสมัครงานของคุณมัน work และคุณสมบัติของคุณมัน attract สายตาผู้คัดเลือกครับ
การสัมภาษณ์งาน(Job Interview)นั้นเป็นเรื่องที่ค่อนข้างสร้างความหนักใจให้กับหลายๆคนบนโลกใบนี้กันเลยล่ะครับ ฉะนั้นแล้วการเรียนรู้ศาสตร์ในการสัมภาษณ์งานจึงเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดของคนหางานและมันจะหมดความสำคัญไปในทันทีทันใดเมื่อได้งานทำ
สัมภาษณ์งาน : Job Interview |
เริ่มตั้งแต่เราเป็นเด็กเราก็ต้องเข้าโรงเรียน ถ้าเราต้องการที่จะเรียนโรงเรียนที่มีชื่อเสียง โรงเรียนบางแห่งที่มีคนต้องการเข้าไปเรียนกันเยอะๆ เราก็ต้องสอบแข่งขันกันเพื่อให้ได้พื้นที่เข้าไปเรียน ซึ่งจะมีทั้งการสอบข้อเขียนบ้างล่ะ สอบสัมภาษณ์บ้างล่ะ ต้องจ่ายค่าแป๊ะเจี๊ยะหรือภาษาอังกฤษคือ additional charges แปลเป็นภาษาไทยเราตรงๆไม่อ้อมค้อมว่า "ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม"
อภิโถ อภิถังเมืองไทย ผู้ใหญ่ซะเองที่ทำให้เด็กตกบันใดขาหักทั้งสองข้างตั้งแต่เล็กๆ แล้วก็ยังจะออกมาทำเป็นพูดดีลอยหน้าลอยตาแต่งสีดำให้เป็นขาว ว่าเด็กคืออนาคตของประเทศชาติ!!!
ตรงไหน อนาคตของชาติตรงไหน?
ขนาดสถาบันที่มีไว้เพื่อเพาะบ่มให้คนมีความรู้มีจริยธรรมยังรับเงินแบบบนโต๊ะ ใต้โต๊ะแล้วบุคคลากรที่ผลิตออกมามันจะเป็นอีรูปไหนกันล่ะหนอ ปล้นกันแบบได้เปล่า ยิ่งกว่ามัดมือชกกันซะอีกนะเนี่ย
ย้อนกับมาเรื่องงานกันครับ หลังจากจบการศึกษาเล่าเรียนแล้วเราก็ต้องหางานทำกันอีกกะทอกครับ งานทุกงานไม่ว่าหน่วยงานรัฐหรือเอกชน ไม่ว่าองค์กรเล็กหรือใหญ่ บริษัทจดทะเบียนหุ้น 1 ล้านหรือ 1,000 ล้านก็แล้วแต่ ล้วนจะต้องทำการการสัมภาษณ์งานก่อนทุกครั้งที่จะรับคทาชายนายหนึ่งหรือว่าคุณเธอ.. working women เข้าร่วมเป็น team work ในบริษัทจำกัดผี
ถ้าจะพูดว่าเกิดมาในแต่ละชาติเราจะหนีไม่พ้นเรื่อง 3 เรื่องนี้ก็ว่าได้ครับ คือ
1 ความตาย
2 ภาษี
3 การสัมภาษณ์งาน (Job interview)
ความตาย ถ้าดูดีๆ ความตายเป็นเรื่องธรรมชาติ ถึงเวลามันมาเอง ทุกคนหนีไม่พ้นแน่นอน
ภาษี มันเป็นกฏเกณฑ์ที่รัฐกำหนดขึ้น อันนี้เราหลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน
การสัมภาษณ์งาน ภาษาอังกฤษก็คือ Job interview ครับ ผมมองว่าการสัมภาษณ์งานเป็นเรื่องที่แตกต่างจากสองข้อข้างต้นอย่างชัดเจน คือ การสัมภาษณ์งานเป็นสิ่งที่ไม่ได้สร้างขึ้นโดยธรรมชาติ ไม่มีรูปแบบที่ตายตัวเสียทีเดียว มันเป็นเรื่องที่เราจะต้องฝึกฝนต้องศึกษาด้วยตัวของเราเองครับ
ฉะนั้น บล็อกนี้จึงเป็นบล็อกสำหรับผู้ที่ต้องการเรียนรู้เกี่ยวกับการสัมภาษณ์งาน(Job interview)ครับ โดยเฉพาะที่เป็นภาษาอังกฤษอีกด้วย เท่ากับว่าได้ 3 ต่อกันเลยทีเดียวเชียวครับ
ต่อแรกคือบล็อกนี้สามารถอ่านได้ฟรีๆไม่เสียสตุ้งสตางค์ซักกะแดงเดียว
ถัดมาคือ ได้ความรู้ความจากกูรูที่มีประสบการณ์จริง เรียกว่าเอาเรื่องที่ตัวเองเจอแบบจะๆเอามาปะติดปะต่อเขียนไว้ในบล็อกนี้ให้เราได้อ่านกัน
ต่อสุดท้ายคือ ได้ความรู้ภาษาอังกฤษอีกต่างหาก แหม...ว่าก็ว่าเห่อะ มันช่างเหมาะเหม็งกับช่วงการเปิดประเทศสู่ AEC ซะจริงๆ เพราะภาษาอังกฤษจะเข้ามาเป็นภาษากลางที่ใช้พูดจาสื่อสารกันอย่างเอิกเกริกเชียวล่ะครับพี่ๆน้องๆเอ๋ย
ใครที่บอกว่าภาษาอังกฤษเป็นเรื่องไกลตัว เป็นภาษาต่างบ้านต่างเมืองไม่จำเป็นต้องเรียนต้องรู้มันหรอก ถึงตอนนี้ต้องเปลี่ยนความคิดใหม่แล้วครับ เอาเป็นว่าเปลี่ยนความคิดซะใหม่เป็น ภาษาอังกฤษคือภาษาที่ใช้คุยกับเพื่อนร่วมโลกประมาณ 8,000 ล้านคนก็แล้วกัน ดีมั๊ย ๆความคิดนี้
กรณีที่คุณจะไปสมัครงานหรือเปลี่ยนงาน ท่านคำนึงถึงอะไรบ้างครับ ต่อไปนี้จะเป็นสิ่งที่คนหางานจะต้องไตร่ตรองก่อนกรอกใบสมัครงาน
1] เลือกงานที่ใช่ ใจบอกว่าชอบ(Something That Interests You)
งานที่คุณจะทำนั้นจะต้องเป็นงานที่คุณทำแล้วคุณมีความสุขกับมันครับ มนุษย์เงินเดือน ลูกจ้างทั้งหลายต้องใช้เวลา แรงกาย สติปัญญาของตนเองเพื่อไปแรกกับเงินเดือนหรือค่าจ้างค่าแรงนั่นเองครับ
เมื่อได้ทราบถึงสิ่งที่กล่าวมาข้างต้นนั้น คุณจะหาความสุขได้อย่างไรถ้าต้องไปอยู่ในบริษัทเพื่อทำงานที่คุณไม่ได้ชื่นชอบมันเลย มันจะเป็นการบั่นทอนคุณซะเปล่าๆ
ฉะนั้นแล้วการเลือกงานที่ตนเองรักตนเองชอบก็ย่อมจะนำความสุขมาสู่ตัวคุณเองครับ คุณลืมอะไรไปหรือเปล่าไม่ทราบครับว่าแปดชั่วโมง(8 ช.ม)หรือมากกว่าที่เราจะต้องที่ในที่ทำงานนั้นมันค่อนข้างแสนจะยาวนานพอควรครับ มันเป็นเวลาที่นานถึงหนึ่งในสาม(1/3)ของเวลาทั้งหมดในหนึ่งวัน
คุณคงจะนึกภาพออกนะครับว่าอยู่กับสิ่งที่ไม่ชอบนานนับแปดชั่วโมงเป็นเวลานับเดือนนับปีชีวีของท่านจะออกมาอีรูปไหมกัน
อย่าให้พูดเลย...เจ้าประคุณเอ๊ย! (คำพูดของผู้มีประสบการณ์ตรงเท่านั้น)
เมื่อคุณเลือกในสิ่งที่ใช่ ทำในสิ่งที่ชอบมีความศัทธาเป็นที่ตั้ง ดังนั้นความบอบช้ำคงไม่มาเยือน...(หรือก็ไม่แน่)
2] ลู่ทางความก้าวหน้า(Room to Grow)
พิจารณาหน่วยงานที่คุณจะไปสมัครด้วยเป็นสำคัญว่า career path ของเขาเป็นอย่างไร ดูไอ้ที่มันใหญ่มีระดับตำแหน่งที่เปิดโอกาสให้คุณเติบโตได้ทั้งแนวตั้งและแนวนอนครับ
ความก้าวหน้าในหน้าที่การงานสำคัญอย่างไรต่อคุณอย่างไร แน่นอนครับ ตำแหน่งงานที่สู่ขึ้นจะนำมาซึ่งค่าตอบแทนที่สูงขึ้นตาม ความมีเกียรติ สวัสดิการที่ขยายช่วงมากขึ้นตามตำแหน่ง เช่น สิทธิ์การลางาน ค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าเดินทาง
จะลืมเสียไม่ได้ก็คืออัตราเงินเดือนที่จะเพิ่มสูงขึ้นจากการโปรโมตแต่ละครั้งครับ ส่วนใหญ่แล้วจากประสบการณ์ของผมที่ทราบมาก็คือจะเพิ่มขึ้นประมาณ 20-30% ของแต่ช่วงตำแหน่งครับ แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นมันก็ขึ้นอยู่กับนโยบายโครงสร้างเงินเดือนที่แตกาต่างกันไปของแต่ละองค์กรครับ
ลู่ทางความก้าวหน้าอาจจะไม่จำเป็นต้องเป็นตำแหน่งงานเสมอไปครับ อาจจะเป็นเงินเดือนหรือสวัสดิการอื่นๆที่ได้เพิ่มขึ้นหากว่าคุณทำงานสำเร็จตามเป้าหมายใดๆก็ตามครับ
คำถามก็คือแล้วคุณจะทราบได้อย่างไรว่าโอกาสมันอยู่ตรงไหน
ปัจจุบันคุณสามารถที่จะเข้าไปค้นหาข้อมูลของบริษัทต่างๆได้ทางเวปไซท์ครับ
คุณควรสังเกต: bbb
i. ดูการขยายตัวของบริษัท
ii. ดูผลประกอบการ
iii. ดูการเข้าร่วมลงทุน(joint venture)หรือเข้าควบคุมกิจการ(take over)
iv. ดูการรับสมัครพนักงาน
สัญญาณด้านบนทั้งสี่ข้อที่กล่าวมาพอจะช่วยเป็นแว่นขยายให้คุณจะมองเห็นเค้าลางอะไรต่อมิอะไรได้เป็นอย่างดีนะครับ
3] ความสำเร็จขององค์กร(Company Success)
ค้นคว้าหาข้อมูลของบริษัท องค์กร กิจการห้างร้านที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักและประสบความสำเร็จในการบริหารจัดการหรือดำเนินธุรกิจแล้วกำไรเจริญเติบโตอย่างมั่นคงต่อเนื่อง
บริษัทที่ได้กำไรย่อมจะนึกถึงพนักงานของบริษัทที่ได้ช่วยเป็นแขนเป็นขาให้บริษัทเติบโตขึ้นทุกวันคืนด้วยเหตุนี้บริษัทหลายแห่งก็จะตอบแทนพนักงานด้วยการให้โบนัส(Bonus)หรือเงินรางวัลพิเศษนั่นเองครับ ถ้ากำไรมากก็อาจจะให้มากหน่อย หากว่ามันได้กำไรมาน้อยก็อาจจะไม่ให้เลยหรือว่าให้บ้างเล็กน้อยให้สมน้ำสมเนื้อกัน
คุณในฐานะของคนหางานหลังจากสืบค้นหาข้อมูลมาได้แล้ว คุณก็ควรต้องหันมาสำรวจคุณสมบัติของท่านเช่นเดียวกันครับว่ามันเหมาะสมกับตำแหน่งหน้าที่ของบริษัทดังกล่าวหรือไม่ อย่างได้แม้แต่จะคิดนะครับเขาจะรับท่านเข้าไปทำงานนั่งลอยหน้าลอยตาในบริษัทของเขาได้ง่ายๆ
บริษัทที่แข็งแกร่งย่อมมีการบริหารจัดการที่เขม็งเกรียว รอบจัด สามารถที่จะวัดพลังประสิทธิภาพในตัวคุณอย่างถูกต้องและแม่นยำ ก็อย่างได้หวังหากว่าคุณไม่เจ๋งจริง
4] สวัสดิการ(Benefits)
นอกจากเงินเดือนที่เป็นแก่นแท้แน่นอนว่าจะต้องได้เป็นค่าจ้างแล้ว สวัสดิการอื่นๆที่นอกเหนือจากเงินเดือนนั้นเล่ามีอะไรบ้างนั้น นั่นแหล่ะคือสิ่งที่คุณจะต้องทราบครับ
บางบริษัทอาจตั้งเงินเดือนไว้ไม่สูงริบริ่วเหมือนกับยอดต้นสนริมชายหาด แต่ว่าขอโทษทีเถอะครับ จ่ายเงินโบนัสปาเข้าไปหกหรือเจ็ดเท่าของเดือนก็มีอยู่ถมเถไปครับ
วันหยุดพักผ่อน มีกี่วัน อย่างน้อยก็หกวัน เต็มที่ก็สิบห้าวันนะครับ
วันลากิจ มีหรือไม่ ถ้ามีเงื่อนไขเป็นอย่างไร
OT. Overtime บางคนบอกว่ามันเป็นเสมือนเส้นเลือดใหญ่กันเลยนะครับ ถ้ามีโอทีมากๆเอามาบวกกับเงินเดือนแล้วบางคนได้รับเกือบเท่ากับผู้จัดการก็ยังมีครับ เรื่องจริงนะครับที่ว่ามาเนี่ย เดี๋ยวจะหาว่าผมว่าไปเรื่อยเปื่อย
เงินสะสมสำรองเลี้ยงชีพ มีสัดส่วนการจัดเก็บส่วนนายจ้างและลูกจ้างเท่าไหร่เช่น 3, 5, 7,หรือว่า 10 เปอร์เซ็น ลองคำนวณกันดูนะครับว่ามันจะสะสมไปเรื่อยๆจนคุณออกจากงาน รวมๆแล้วก็คงจะไม่ใช่น้อย ลูกจ้างบางคนสามารถนำไปประกอบอาชีพส่วนตัวเล็กๆน้อยๆได้เลยก็มีให้เห็นอยู่เยอะแยะมากมายนับตั้งแต่เกียกกายไปสุดรังษิตกันเลยว่างั้นเถอะ
วันทำงาน แปดชั่วโมงต่อวัน ห้าวันต่อสัปดาห์หรือเปล่า ถ้าได้อย่างนี้ก็คงจะดี เพราะชีวิตจะได้มีชีวามากขึ้นอีกหน่อย แต่ก็เห่อะน่า บางแห่งยังทำงานหกวันต่อสัปดาห์อยู่กันอีกมากมายครับ
ค่าอาหาร บางบริษัทเขาจัดให้ครับ บางแห่งให้เป็นงบเป็นเดือนๆไปเลย บางที่ให้เป็นเงินอัตราหนึ่งต่อวันที่พนักงานท่านนั้นๆไปทำงานจริงๆในแต่ละเดือน
ค่าเดินทาง ถ้าได้ก็คงจะดีไม่ใช่น้อย เดินทางไปทำงาน หรือดูงาน มันสุดยอดนะถ้าบริษัทเขาอุดหนุนให้
ค่าที่พัก หรือสวัสดิการบ้านพักพนักงาน ถ้าท่านใดอยู่ไกล เบิกค่าที่พักได้ก็ย้ายมาอยู่ที่มันใกล้ๆน่ะดีที่สุด
ประกันอุบัติเหตุ บริษัทเขาก็ต้องการจะลดความสูญเสียบุคคลากรอันมีค่าของเขาเหมือนกัน
ประกันชีวิต หลายแห่งให้ความสำคัญกับส่วนนี้มากพอควร เขาห่วงใยสวัสดิภาพและความเป็นอยู่พนักของเขา
ชุดพนักงาน ถ้าบริษัทไหนแจกก็ช่วยประหยัดเสื้อผ้าได้เป็นอย่างดี
ทุนการศึกษาบุตร เป็นการส่งเสริมและช่วยเหลือที่น่านับถือจริงๆ บริษัทใหญ่ๆเขากล้าให้นะครับไอ้เรื่องแบบนี้
ค่าเบี้ยเลี้ยง หลายคนนั่งยิ้มเพราะเคยได้ลิ้มลองรับเบี้ยเลี้ยงกันมาบ้างแล้ว
เบี้ยขยัน บริษัทเขาได้เนื้องานคุ้มกว่าที่ต้องแลกด้วยการจ่ายเบี้ยขยันให้กับพนักงาน ส่วนมากจะเป็นการจ่ายแบบขั้นบันได
5] ตำแหน่งที่ตั้ง(Location)
มันจะไหวหรือครับกับการเดินทางในเมืองใหญ่ๆใช้เวลาเป็นกระบุงๆกว่าจะถึงที่ทำงาน เดินทางไปมาก็ตาลายคล้ายจะเป็นลม อย่างนี้คุณคงต้องคิดพิจารณาสักสิบแปดตลบล่ะครับพี่น้อง
แต่ถ้าบางแห่งมันไกลก็จริงแต่ถ้ามีรถมีลาที่จะพาคุณไปสู่ทำเนียบที่ทำงานของคุณได้ภายในเวลาที่ไม่นานมากนัก คุณก็รับมันไปเถอะครับ
ส่วนบริษัทไหนที่บวกลบคุณหารจนรอบด้านแล้วว่าคุณจะได้รับ หักกับไอ้ที่เสียๆแล้วมันคุ้มกันมั๊ย เช่นมันไกลเป็นหลายสิบกิโลแม้วแต่คิดแล้วเงินเดือนมันคุ้มกับไมล์ที่หมุน ก..ะ..ก็ ลองชั่งน้ำหนักดูดีๆก็แล้วกันครับ ชีวิตมันเป็นของคุณแล้วนี่ครับคุณก็ต้องลิขิตคุ้ยเขี่ยไปตามประสาของคนมนุษย์เงินเดือนน่ะครับ
สรุปภาพรวมแล้วก็คือ คุณต้องเอาโจทย์ทั้ง 5 ข้อที่กล่าวมาแล้วข้างต้นที่เห็นย้อนกับไปอ่านก็จะเป็นแพลมๆว่า ฮา ฮ้า ไฮ้...ปัจจัยเงื่อนไขต่างๆมันแยอะแยะยิ่งกว่าตาแป๊ะขายขวดซะอีกฮิ ทำไงได้ล่ะครับ ก็ทำไมไม่เกิดมารวยล่ะครับ จะได้ไม่ต้องมานั่งคอยให้เขาสั่ง เฮ้อ! 😓
สามารถติดตามบทสัมภาษณ์ต่างๆที่เขียนไว้เป็นข้อๆในเว็บนี้กันตามบริดวกได้แล้วขอรับ
ถ้าจะพูดว่าเกิดมาในแต่ละชาติเราจะหนีไม่พ้นเรื่อง 3 เรื่องนี้ก็ว่าได้ครับ คือ
1 ความตาย
2 ภาษี
3 การสัมภาษณ์งาน (Job interview)
ความตาย ถ้าดูดีๆ ความตายเป็นเรื่องธรรมชาติ ถึงเวลามันมาเอง ทุกคนหนีไม่พ้นแน่นอน
ภาษี มันเป็นกฏเกณฑ์ที่รัฐกำหนดขึ้น อันนี้เราหลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน
การสัมภาษณ์งาน ภาษาอังกฤษก็คือ Job interview ครับ ผมมองว่าการสัมภาษณ์งานเป็นเรื่องที่แตกต่างจากสองข้อข้างต้นอย่างชัดเจน คือ การสัมภาษณ์งานเป็นสิ่งที่ไม่ได้สร้างขึ้นโดยธรรมชาติ ไม่มีรูปแบบที่ตายตัวเสียทีเดียว มันเป็นเรื่องที่เราจะต้องฝึกฝนต้องศึกษาด้วยตัวของเราเองครับ
ฉะนั้น บล็อกนี้จึงเป็นบล็อกสำหรับผู้ที่ต้องการเรียนรู้เกี่ยวกับการสัมภาษณ์งาน(Job interview)ครับ โดยเฉพาะที่เป็นภาษาอังกฤษอีกด้วย เท่ากับว่าได้ 3 ต่อกันเลยทีเดียวเชียวครับ
ต่อแรกคือบล็อกนี้สามารถอ่านได้ฟรีๆไม่เสียสตุ้งสตางค์ซักกะแดงเดียว
ถัดมาคือ ได้ความรู้ความจากกูรูที่มีประสบการณ์จริง เรียกว่าเอาเรื่องที่ตัวเองเจอแบบจะๆเอามาปะติดปะต่อเขียนไว้ในบล็อกนี้ให้เราได้อ่านกัน
ต่อสุดท้ายคือ ได้ความรู้ภาษาอังกฤษอีกต่างหาก แหม...ว่าก็ว่าเห่อะ มันช่างเหมาะเหม็งกับช่วงการเปิดประเทศสู่ AEC ซะจริงๆ เพราะภาษาอังกฤษจะเข้ามาเป็นภาษากลางที่ใช้พูดจาสื่อสารกันอย่างเอิกเกริกเชียวล่ะครับพี่ๆน้องๆเอ๋ย
ใครที่บอกว่าภาษาอังกฤษเป็นเรื่องไกลตัว เป็นภาษาต่างบ้านต่างเมืองไม่จำเป็นต้องเรียนต้องรู้มันหรอก ถึงตอนนี้ต้องเปลี่ยนความคิดใหม่แล้วครับ เอาเป็นว่าเปลี่ยนความคิดซะใหม่เป็น ภาษาอังกฤษคือภาษาที่ใช้คุยกับเพื่อนร่วมโลกประมาณ 8,000 ล้านคนก็แล้วกัน ดีมั๊ย ๆความคิดนี้
กรณีที่คุณจะไปสมัครงานหรือเปลี่ยนงาน ท่านคำนึงถึงอะไรบ้างครับ ต่อไปนี้จะเป็นสิ่งที่คนหางานจะต้องไตร่ตรองก่อนกรอกใบสมัครงาน
1] เลือกงานที่ใช่ ใจบอกว่าชอบ(Something That Interests You)
งานที่คุณจะทำนั้นจะต้องเป็นงานที่คุณทำแล้วคุณมีความสุขกับมันครับ มนุษย์เงินเดือน ลูกจ้างทั้งหลายต้องใช้เวลา แรงกาย สติปัญญาของตนเองเพื่อไปแรกกับเงินเดือนหรือค่าจ้างค่าแรงนั่นเองครับ
เมื่อได้ทราบถึงสิ่งที่กล่าวมาข้างต้นนั้น คุณจะหาความสุขได้อย่างไรถ้าต้องไปอยู่ในบริษัทเพื่อทำงานที่คุณไม่ได้ชื่นชอบมันเลย มันจะเป็นการบั่นทอนคุณซะเปล่าๆ
ฉะนั้นแล้วการเลือกงานที่ตนเองรักตนเองชอบก็ย่อมจะนำความสุขมาสู่ตัวคุณเองครับ คุณลืมอะไรไปหรือเปล่าไม่ทราบครับว่าแปดชั่วโมง(8 ช.ม)หรือมากกว่าที่เราจะต้องที่ในที่ทำงานนั้นมันค่อนข้างแสนจะยาวนานพอควรครับ มันเป็นเวลาที่นานถึงหนึ่งในสาม(1/3)ของเวลาทั้งหมดในหนึ่งวัน
คุณคงจะนึกภาพออกนะครับว่าอยู่กับสิ่งที่ไม่ชอบนานนับแปดชั่วโมงเป็นเวลานับเดือนนับปีชีวีของท่านจะออกมาอีรูปไหมกัน
อย่าให้พูดเลย...เจ้าประคุณเอ๊ย! (คำพูดของผู้มีประสบการณ์ตรงเท่านั้น)
เมื่อคุณเลือกในสิ่งที่ใช่ ทำในสิ่งที่ชอบมีความศัทธาเป็นที่ตั้ง ดังนั้นความบอบช้ำคงไม่มาเยือน...(หรือก็ไม่แน่)
2] ลู่ทางความก้าวหน้า(Room to Grow)
พิจารณาหน่วยงานที่คุณจะไปสมัครด้วยเป็นสำคัญว่า career path ของเขาเป็นอย่างไร ดูไอ้ที่มันใหญ่มีระดับตำแหน่งที่เปิดโอกาสให้คุณเติบโตได้ทั้งแนวตั้งและแนวนอนครับ
ความก้าวหน้าในหน้าที่การงานสำคัญอย่างไรต่อคุณอย่างไร แน่นอนครับ ตำแหน่งงานที่สู่ขึ้นจะนำมาซึ่งค่าตอบแทนที่สูงขึ้นตาม ความมีเกียรติ สวัสดิการที่ขยายช่วงมากขึ้นตามตำแหน่ง เช่น สิทธิ์การลางาน ค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าเดินทาง
จะลืมเสียไม่ได้ก็คืออัตราเงินเดือนที่จะเพิ่มสูงขึ้นจากการโปรโมตแต่ละครั้งครับ ส่วนใหญ่แล้วจากประสบการณ์ของผมที่ทราบมาก็คือจะเพิ่มขึ้นประมาณ 20-30% ของแต่ช่วงตำแหน่งครับ แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นมันก็ขึ้นอยู่กับนโยบายโครงสร้างเงินเดือนที่แตกาต่างกันไปของแต่ละองค์กรครับ
ลู่ทางความก้าวหน้าอาจจะไม่จำเป็นต้องเป็นตำแหน่งงานเสมอไปครับ อาจจะเป็นเงินเดือนหรือสวัสดิการอื่นๆที่ได้เพิ่มขึ้นหากว่าคุณทำงานสำเร็จตามเป้าหมายใดๆก็ตามครับ
คำถามก็คือแล้วคุณจะทราบได้อย่างไรว่าโอกาสมันอยู่ตรงไหน
ปัจจุบันคุณสามารถที่จะเข้าไปค้นหาข้อมูลของบริษัทต่างๆได้ทางเวปไซท์ครับ
คุณควรสังเกต: bbb
i. ดูการขยายตัวของบริษัท
ii. ดูผลประกอบการ
iii. ดูการเข้าร่วมลงทุน(joint venture)หรือเข้าควบคุมกิจการ(take over)
iv. ดูการรับสมัครพนักงาน
สัญญาณด้านบนทั้งสี่ข้อที่กล่าวมาพอจะช่วยเป็นแว่นขยายให้คุณจะมองเห็นเค้าลางอะไรต่อมิอะไรได้เป็นอย่างดีนะครับ
3] ความสำเร็จขององค์กร(Company Success)
ค้นคว้าหาข้อมูลของบริษัท องค์กร กิจการห้างร้านที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักและประสบความสำเร็จในการบริหารจัดการหรือดำเนินธุรกิจแล้วกำไรเจริญเติบโตอย่างมั่นคงต่อเนื่อง
บริษัทที่ได้กำไรย่อมจะนึกถึงพนักงานของบริษัทที่ได้ช่วยเป็นแขนเป็นขาให้บริษัทเติบโตขึ้นทุกวันคืนด้วยเหตุนี้บริษัทหลายแห่งก็จะตอบแทนพนักงานด้วยการให้โบนัส(Bonus)หรือเงินรางวัลพิเศษนั่นเองครับ ถ้ากำไรมากก็อาจจะให้มากหน่อย หากว่ามันได้กำไรมาน้อยก็อาจจะไม่ให้เลยหรือว่าให้บ้างเล็กน้อยให้สมน้ำสมเนื้อกัน
คุณในฐานะของคนหางานหลังจากสืบค้นหาข้อมูลมาได้แล้ว คุณก็ควรต้องหันมาสำรวจคุณสมบัติของท่านเช่นเดียวกันครับว่ามันเหมาะสมกับตำแหน่งหน้าที่ของบริษัทดังกล่าวหรือไม่ อย่างได้แม้แต่จะคิดนะครับเขาจะรับท่านเข้าไปทำงานนั่งลอยหน้าลอยตาในบริษัทของเขาได้ง่ายๆ
บริษัทที่แข็งแกร่งย่อมมีการบริหารจัดการที่เขม็งเกรียว รอบจัด สามารถที่จะวัดพลังประสิทธิภาพในตัวคุณอย่างถูกต้องและแม่นยำ ก็อย่างได้หวังหากว่าคุณไม่เจ๋งจริง
4] สวัสดิการ(Benefits)
นอกจากเงินเดือนที่เป็นแก่นแท้แน่นอนว่าจะต้องได้เป็นค่าจ้างแล้ว สวัสดิการอื่นๆที่นอกเหนือจากเงินเดือนนั้นเล่ามีอะไรบ้างนั้น นั่นแหล่ะคือสิ่งที่คุณจะต้องทราบครับ
บางบริษัทอาจตั้งเงินเดือนไว้ไม่สูงริบริ่วเหมือนกับยอดต้นสนริมชายหาด แต่ว่าขอโทษทีเถอะครับ จ่ายเงินโบนัสปาเข้าไปหกหรือเจ็ดเท่าของเดือนก็มีอยู่ถมเถไปครับ
วันหยุดพักผ่อน มีกี่วัน อย่างน้อยก็หกวัน เต็มที่ก็สิบห้าวันนะครับ
วันลากิจ มีหรือไม่ ถ้ามีเงื่อนไขเป็นอย่างไร
OT. Overtime บางคนบอกว่ามันเป็นเสมือนเส้นเลือดใหญ่กันเลยนะครับ ถ้ามีโอทีมากๆเอามาบวกกับเงินเดือนแล้วบางคนได้รับเกือบเท่ากับผู้จัดการก็ยังมีครับ เรื่องจริงนะครับที่ว่ามาเนี่ย เดี๋ยวจะหาว่าผมว่าไปเรื่อยเปื่อย
เงินสะสมสำรองเลี้ยงชีพ มีสัดส่วนการจัดเก็บส่วนนายจ้างและลูกจ้างเท่าไหร่เช่น 3, 5, 7,หรือว่า 10 เปอร์เซ็น ลองคำนวณกันดูนะครับว่ามันจะสะสมไปเรื่อยๆจนคุณออกจากงาน รวมๆแล้วก็คงจะไม่ใช่น้อย ลูกจ้างบางคนสามารถนำไปประกอบอาชีพส่วนตัวเล็กๆน้อยๆได้เลยก็มีให้เห็นอยู่เยอะแยะมากมายนับตั้งแต่เกียกกายไปสุดรังษิตกันเลยว่างั้นเถอะ
วันทำงาน แปดชั่วโมงต่อวัน ห้าวันต่อสัปดาห์หรือเปล่า ถ้าได้อย่างนี้ก็คงจะดี เพราะชีวิตจะได้มีชีวามากขึ้นอีกหน่อย แต่ก็เห่อะน่า บางแห่งยังทำงานหกวันต่อสัปดาห์อยู่กันอีกมากมายครับ
ค่าอาหาร บางบริษัทเขาจัดให้ครับ บางแห่งให้เป็นงบเป็นเดือนๆไปเลย บางที่ให้เป็นเงินอัตราหนึ่งต่อวันที่พนักงานท่านนั้นๆไปทำงานจริงๆในแต่ละเดือน
ค่าเดินทาง ถ้าได้ก็คงจะดีไม่ใช่น้อย เดินทางไปทำงาน หรือดูงาน มันสุดยอดนะถ้าบริษัทเขาอุดหนุนให้
ค่าที่พัก หรือสวัสดิการบ้านพักพนักงาน ถ้าท่านใดอยู่ไกล เบิกค่าที่พักได้ก็ย้ายมาอยู่ที่มันใกล้ๆน่ะดีที่สุด
ประกันอุบัติเหตุ บริษัทเขาก็ต้องการจะลดความสูญเสียบุคคลากรอันมีค่าของเขาเหมือนกัน
ประกันชีวิต หลายแห่งให้ความสำคัญกับส่วนนี้มากพอควร เขาห่วงใยสวัสดิภาพและความเป็นอยู่พนักของเขา
ชุดพนักงาน ถ้าบริษัทไหนแจกก็ช่วยประหยัดเสื้อผ้าได้เป็นอย่างดี
ทุนการศึกษาบุตร เป็นการส่งเสริมและช่วยเหลือที่น่านับถือจริงๆ บริษัทใหญ่ๆเขากล้าให้นะครับไอ้เรื่องแบบนี้
ค่าเบี้ยเลี้ยง หลายคนนั่งยิ้มเพราะเคยได้ลิ้มลองรับเบี้ยเลี้ยงกันมาบ้างแล้ว
เบี้ยขยัน บริษัทเขาได้เนื้องานคุ้มกว่าที่ต้องแลกด้วยการจ่ายเบี้ยขยันให้กับพนักงาน ส่วนมากจะเป็นการจ่ายแบบขั้นบันได
5] ตำแหน่งที่ตั้ง(Location)
มันจะไหวหรือครับกับการเดินทางในเมืองใหญ่ๆใช้เวลาเป็นกระบุงๆกว่าจะถึงที่ทำงาน เดินทางไปมาก็ตาลายคล้ายจะเป็นลม อย่างนี้คุณคงต้องคิดพิจารณาสักสิบแปดตลบล่ะครับพี่น้อง
แต่ถ้าบางแห่งมันไกลก็จริงแต่ถ้ามีรถมีลาที่จะพาคุณไปสู่ทำเนียบที่ทำงานของคุณได้ภายในเวลาที่ไม่นานมากนัก คุณก็รับมันไปเถอะครับ
ส่วนบริษัทไหนที่บวกลบคุณหารจนรอบด้านแล้วว่าคุณจะได้รับ หักกับไอ้ที่เสียๆแล้วมันคุ้มกันมั๊ย เช่นมันไกลเป็นหลายสิบกิโลแม้วแต่คิดแล้วเงินเดือนมันคุ้มกับไมล์ที่หมุน ก..ะ..ก็ ลองชั่งน้ำหนักดูดีๆก็แล้วกันครับ ชีวิตมันเป็นของคุณแล้วนี่ครับคุณก็ต้องลิขิตคุ้ยเขี่ยไปตามประสาของคนมนุษย์เงินเดือนน่ะครับ
สรุปภาพรวมแล้วก็คือ คุณต้องเอาโจทย์ทั้ง 5 ข้อที่กล่าวมาแล้วข้างต้นที่เห็นย้อนกับไปอ่านก็จะเป็นแพลมๆว่า ฮา ฮ้า ไฮ้...ปัจจัยเงื่อนไขต่างๆมันแยอะแยะยิ่งกว่าตาแป๊ะขายขวดซะอีกฮิ ทำไงได้ล่ะครับ ก็ทำไมไม่เกิดมารวยล่ะครับ จะได้ไม่ต้องมานั่งคอยให้เขาสั่ง เฮ้อ! 😓
สามารถติดตามบทสัมภาษณ์ต่างๆที่เขียนไว้เป็นข้อๆในเว็บนี้กันตามบริดวกได้แล้วขอรับ
ถ้าบริษัทที่สมัครส่งเมล์มาถามว่า
ตอบลบWhat is your reference package of incomes ( basic , allowances , bonus ) and your expected from new company ?
หมายถึง เค้าถามว่ารายได้ที่ทำงานปัจจุบันของเรารวมค่าอะไรบ้าง...ใช่มั้ยค่ะ และเราคาดหวังอะไรจากที่ทำงานใหม่ ใช่มั้ยค่ะ
ถูกต้องแล้วครับ ท่านได้รับอะไรบ้างจากที่ทำงานเดิมของท่าน เช่น เงินเดือน โบนัส เงินค่าทดรองจ่าย เบี้ยเลี้ยง เป็นต้นครับ
ลบและแน่นอน ผู้สัมภาษณ์งานก็ต้องการทราบอีกเช่นกันว่าแล้วท่านน่ะอยากได้เงินเดือนเท่าไหร่ในที่ทำงานแห่งใหม่ครับ
แน่นอนครับ การเปลี่ยนงานเป็นการเปลี่ยนชีวิตก็ว่าได้ครับ งั้นแล้วท่านต้องพิจารณาให้ถ้วนถี่ว่าเมื่อท่านจะเสี่ยงทั้งทีมันต้องดีกว่าเดิม จริงไหมครับ
ชีวิตไม่ใช่เรื่องง่าย
ตอบลบเกิดเป็นควายยังต้องสู้เลย นับประสาอะไรกับคน...
ตอบลบ